นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของญี่ปุ่นเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตฟองสบู่เศรษฐกิจในช่วงต้นทศวรรษ 1990 การลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในโลก นโยบายนี้ส่งผลต่อการบริหารเศรษฐกิจ การลงทุน และการบริโภคในญี่ปุ่น รวมถึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างกว้างขวาง
The low interest rate policy of Japan began in the late 1990s, aimed at stimulating the economy following the economic bubble crisis of the early 1990s. Rapid and continuous interest rate reductions made Japan the country with the lowest interest rates in the world. This policy affected economic management, investment, and consumption in Japan, as well as had widespread impacts on the global economy.
นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเริ่มใช้ในปี 1999 โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการขยายตัวของเงินเฟ้อที่ต่ำ
การลดอัตราดอกเบี้ยทำให้การกู้ยืมเงินมีต้นทุนต่ำ ส่งผลให้เกิดการลงทุนและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงช้าเนื่องจากปัญหาสภาพคล่องและการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
นอกจากการลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว ธนาคารกลางญี่ปุ่นยังได้ใช้นโยบายการเงินเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) เพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
แม้ว่านโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ และยังส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อ
ในปี 2013 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบาย "Abenomics" ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของญี่ปุ่นส่งผลกระทบต่อการเงินโลก โดยประเทศอื่นๆ เริ่มใช้แนวทางที่คล้ายคลึงกันเพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย
อนาคตของนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำยังไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการปรับเปลี่ยนในนโยบายการเงินของ BOJ
ญี่ปุ่นมีนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ยาวนานกว่าหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและยุโรปที่เริ่มใช้นโยบายนี้ในช่วงวิกฤตการเงินโลก
นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำของญี่ปุ่นมีทั้งความสำเร็จในการกระตุ้นเศรษฐกิจในบางช่วงเวลา และความล้มเหลวในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน